Moun-Model

หลักสูตร อีคอมเมิอร์ช และ พัฒนาแอปโมบาย เปิดรับสมัคร 1 เมษายน -15 พฤษภาคม 67

บทที่ 7 การตลาดออนไลน์

Online Marketing 

การตลาดออนไลน์
             3 คำถามยอดฮิตพิชิตมือใหม่ค้าขายออนไลน์ไม่ให้รุ่ง
1.คำถามยอดฮิตพิชิตมือใหม่คำถามแรก ขายอะไรดี?
หากใครถามผมแบบนี้ส่วนใหญ่ถ้ามีเวลาน้อยผมมักตอบไปว่า ‘ขายอะไรก็ดีหมด ถ้าขายได้’ ย้ำอีกครั้งนะครับว่า ขายอะไรก็ขายไปเถอะถ้ามันขายได้ ผมไม่ได้กวน ไม่ได้ยอก ย้อนนะครับ คุณลองคิดกลับกันดูว่า ต่อให้คุณอยากขายแค่ไหนแต่ดันไม่มีคนอยากได้ของคุณเลย มันก็แค่นั้น หมดสิทธิ์ขายไม่ออกครับ เอาเป็นว่า ผมจะไม่ชี้โพรงใด ๆ ทั้งสิ้น
เรื่องขายอะไรดี เพราะคำถามนี้ต้องมีเบื้องลึก เบื้องหลังว่า คุณเก่ง คุณเก๋า คุณเข้าใจสิ่งใดเป็นพิเศษถึงทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ แต่ผมจะแนะนำเครื่องมือคอยที่ช่วยมือใหม่หาข้อมูล
ประกอบการตัดสินใจให้ว่า ควรขายอะไรดี ?

เครื่องมือแรกที่จะแนะนำคือ Google Keyword Planner คำอธิบายบอกไว้ว่าเป็นเครื่องมือสำหรับวางแผนคำหลัก มือใหม่อ่านถึงตรงนี้คงหนักใจ เอาเป็นว่า ทุกครั้งที่ใครอยากรู้
อยากซื้อ อยากขาย อยากหา สิ่งใดเวลาไปค้นหาทันใจใส่ google เค้าก็จะต้องพิมพ์คำเหล่านั้นลงไป เช่น ซื้อบ้าน กางเกงมือสอง อยากได้รองเท้าสวย ๆ โดย google เรียกสิ่งที่
พิมพ์ลงไปพวกนี้ว่า ‘คำหลัก’ และ google คอยเก็บรวบรวมคำหลักเหล่านี้มาเป็นสถิติ ต่อเดือน ต่อปี คำหลักคำนี้ มีการถูกค้นหาไปกี่ครั้งบ้างแล้วนั้นเอง ลองดูตัวอย่าง ผมทดสอบค้นหาคำว่า ‘เสื้อเกาะอก’ ก็จะขึ้นมาเป็นแผนภูมิย้อนกลับไปตั้งแต่ พ.ค. 2014 ถึง เม.ย. 2015 กราฟขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ยังคงมีคนค้นหาตลอด แสดงให้เห็นว่า เสื้อเกาะอก ยังเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแสมีคนค้น มีคนหา มีคนสนใจโดยไม่ทีท่าว่าจะลดน้อยลงแต่อย่างใด ถ้าผมจะขายเสื้อเกาะอก ผมมั่นใจว่าขายแล้วดีแน่นอนครับ กลับ
กันถ้าเห็นกราฟคนค้นหาลงเอา ๆ มีการค้นหาน้อยลงเรื่อย ๆ ใครหยิบจับสินค้านั้นมาขายผมขอใช้คำว่า คุณรอวันตายเลยทีเดียวครับ เครื่องมือต่อไป Google Suggestion tool ตัวนี้เชื่อว่าทุกคนคงเคยผ่านหน้าผ่านตามาบ้างแล้วอย่างแน่นอนครับ เพราะเมื่อคุณเข้าไป Google ทำค้นหาสิ่งที่ต้องการทันใดนั้น google จะแสดงผล 10 อันดับที่มีคนค้นหามากที่สุดขึ้นมาทันที ย้ำนะครับหัวใจของ Google Suggestion tool อยู่ที่ คนค้นหาเยอะเท่ากับสินค้าเป็นที่สนใจ ใครขายของพวกนี้ขายดีแน่นอนมาดูเทคนิคการเล่นกับเครื่องมือนี้ดูบ้างครับ ตัวอย่างผมพิมพ์ลงไปว่า ‘ขายเสื้อ’ แล้วทำการกดเว้นวรรคหนึ่งครั้ง 10 อันดับคนค้นหามากที่สุดก็จะแสดงขึ้นมาครับ  ยังครับ เท่านั้นยังไม่พอ หากอยากเจาะลึกลงไปในรายสินค้านั้น ๆ ก็สามารถทำได้เพิ่มดังนี้ ให้พิมพ์ ขายเสื้อ เว้นวรรคหนึ่งครั้งแล้วพิมพ์อักษรลงไปหนึ่งตัว ก. ข. ค.หรือ A B C เป็นต้น จะ ได้คำค้นหายอดฮิตเรียงตามอักษรที่พิมพ์ลงไปอีก 10 อันดับขึ้นมาเช่นกัน ทำให้แนวทางในการเลือกเจาะลงไปในรายสินค้านั้น ๆ สามารถเห็นภาพชัดเจนแม่นยำยิ่งขึ้น

2.คำถามยอดฮิตพิชิตมือใหม่คำถามที่สอง นำสินค้าจากที่ไหนมาขาย ?
โลกเปลี่ยนไปแล้วครับ หากย้อนกลับไปสมัยก่อนผมคงแนะนำคนถามว่า ประตูน้ำซิ จตุจักรไง โรงเกลือเลย แต่ยุคโซเชียลสมัยนี้ตอบแค่นี้มันใช้ไม่ได้แล้วครับ เพราะโลกเค้าไร้พรหมแดนไปไกลแล้ว เว็บเถาเป่าก็มี อาลีบาบาก็มา ผมเลยขอแยกตอบเป็น 3 ช่องทางคร่าว ๆ ดังนี้
หาสินค้าจากร้านค้าส่งต่าง ๆ เช่น ประตูน้ำ แพทตินัม จตุจักร โรงเกลือ รวมถึงโรงงานที่เค้าผลิตสินค้านั้น ๆ หลักคิดสำคัญของการหาสินค้าร้านส่งมาขายก็คือ คุณต้องรู้แหล่งสินค้าที่มีคุณภาพและราคาไม่แพง ยิ่งคุณหาของดีมีราคาลดลงได้มากเท่าไหร่ คุณยิ่งมีกำไรและมีความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งมากยิ่งขึ้นเท่านั้นหาสินค้าจากเว็บไซต์ค้าส่ง รวมถึงการพรีออเดอร์สินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายด้วยก็ตาม เช่น เว็บไซต์ taobao.com ebay.com alibaba.com หลักคิดสำคัญที่คุณต้อง
ระวังของการหาสินค้าจากเว็บไซต์ค้าส่งก็คือ เรื่องการได้สินค้าที่ไม่ตรงความต้องการ สินค้าเสียหาย ไม่มีคุณภาพ หรือสินค้ามีความล่าช้ากว่ากำหนด ถ้าคุณยอมรับหรือควบคุม
ความเสี่ยงพวกนี้ได้ คุณก็มีความได้เปรียบในเรื่องสินค้าที่แปลกใหม่กว่าคู่แข่งในระดับนึง
หาสินค้าโดยใช้บริการ DropShip ซึ่งการทำ DropShip นั้นคือ การขายของเหมือนเป็นตัวแทนจำหน่าย คุณมีหน้าที่หาลูกค้าแล้วให้เจ้าของ DropShip ส่งสินค้าให้ลูกค้าเอง ผ่านในชื่อของคุณ โดยผู้ที่ทำ DropShip จะได้รับค่าส่วนต่างขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการนั้นเอง หลักคิดของการหาสินค้าประเภท DropShip ที่ผมขอย้ำชนิด ย้ำแล้วย้ำอีกเลยว่า ต้องเลือกเจ้าของธุรกิจค้าส่งที่ไว้ใจได้ น่าเชื่อถือ มาก่อนเป็นอันดับแรก

3.คำถามยอดฮิตพิชิตมือใหม่คำถามสุดท้าย ขายที่ไหนดี ?
ย้อนกลับไปซัก 2 ปีก่อน ผมลงทุนเปิดร้านค้าขายสินค้าแฟชั่นลงทุนทำหน้าร้านหลายแสนบาทกว่าจะคืนทุน มีกินมีใช้ เก็บเกี่ยวยอดรายได้ก็เล่นเอานานโข ปัจจัยหลักมาจากการเลือกทำเลขายใช้เวลานานกว่าจะลงตัว ซึ่งมาวันนี้สำหรับมือใหม่ถ้าจะต้องเลือกทำเลขายของออนไลน์ (ช่องทางการขาย) ผมอยากแนะนำให้คุณเลือกทำตามหรือเลือกจุดอ่อนจากเจ้าตลาดเจ้าใหญ่ที่เค้าทำไว้ก่อนแล้ว ว่าเค้ามีกลยุทธ์อย่างไรถึงรุ่ง โดยผมจะบอกเทคนิคในการสอดแนมกลยุทธ์ของเว็บไซต์เจ้าตลาดให้คุณสามารถนำไปปรับใช้ฉุดยอดขายแบบไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใดอีกทั้งยังฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายด้วยนะครับ ตามตัวอย่างนี้กันเลย ถ้าขายเสื้อผ้าแฟชั่นผมมักจะสอดแนมเว็บไซต์ Zarora.co.th ซึ่งเป็นเจ้าตลาดยักษ์ใหญ่วงการแฟชั่นออนไลน์อยู่ จำวิธีกันไว้ให้ดีนะครับ
ขั้นตอนแรกให้เข้าไปที่เว็บไซต์ Similarweb กรอกชื่อเว็บไซต์ที่ต้องการสอดแนม พอค้นหาแล้วจะได้ข้อมูลประกอบมากมายที่สามารถนำไปปรับใช้ในการเลือกทำเลขายของออนไลน์ของเราได้ หลัก ๆ สำหรับข้อมูลของทำเล (ช่องทางขาย) ให้ดูที่หัวข้อ Traffic Sources

แถบ Direct หรือการที่ลูกค้าเข้าเว็บไซต์ของ Zarora มาโดยตรง 26.66% แปลว่า คนรู้จักชื่อเว็บไซต์นี้เยอะ แบรนด์ติดหูผู้คนแล้ว การที่เราจะเลือกเลียนแบบเพื่อทำให้คนเข้าเว็บ
ไซต์แบบ Direct ได้นั้น ต้องทำการโฆษณาเยอะ ต่อเนื่องยาวนานพอ ซึ่งต้องใช้งบประมาณสูง
แถบ Referrals ข้อมูลนี้มาจากการบอกต่อผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ 13.39% แปลว่า มีผู้อ้างอิง พูดถึง ยกตัวอย่างเว็บไซต์นี้มากพอสมควร การที่จะเลือกเลียนแบบทำนั้นอาจต้องมีผู้มีชื่อเสียงบนโลกออนไลน์อ้างอิง พูดถึง หรือยกตัวอย่างเว็บไซต์ของเราให้กับผู้ติดตาม ทั้งนี้ทั้งนั้นรูปแบบของ Referrals มีแบบเสียเงินจ้างลงโฆษณาหรือแบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ก็มี
แถบ Search ตรงนี้แสดงว่ามีคนเข้ามาจากเว็บไซต์ค้นหาต่าง ๆ เช่น google yahoo bing สำหรับ google เรียกว่า การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของเราถูกจัดอันดับแสดงผล
ขึ้นมาในอันดับต้น ๆ เสมอ วิธีการนี้อาจต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคพอสมควร
สุดท้ายในแถบ Social และ email มีเพียง 4.8% และ 0.6% เท่านั้น หมายความว่าเว็บไซต์อย่าง Zarora นั้นทำการตลาดผ่านสองช่องทางนี้น้อยหรือทำแล้วยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
เมื่อรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เราสอดแนมมานี้ชี้ให้เห็นว่า หากเราขายเสื้อผ้าแฟชั่นถ้ามีงบการโฆษณาสูงก็ให้ใช้กลยุทธ์นี้ตลาดแต่ทำการตลาดผ่าน Social email และ Search ได้แล้วนั้นเราก็ยังสามารถสร้างยอดขายจากช่องว่าง
ที่มีอยู่จากคู่แข่งทางการตลาดของเราได้หากใครที่กำลังสงสัยอยู่ว่าการใช้ Facebook ทำการขายสินค้าแล้วไม่ค่อยได้ผลทันใจเท่าที่ควร วันนี้เวลานี้ส่วนตัวผมแนะนำให้คุณลอง
สร้างการตลาดผ่าน Line โดยใช้ Line@ ซึ่งเหมากับธุรกิจขนาดเล็กมาก เริ่มต้นได้ไว ลงทุนน้อยแต่ได้ผลสูงมาก เพราะจากที่ผมเองแนะนำการใช้งาน Line@ เพื่อเพิ่มยอดขายให้
กับเพื่อนในวงการแฟชั่นมาตั้งแต่ต้นปี ผลจากการบอกเล่าว่า ขย่ำยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมากมายกันทุกคนเลยทีเดียวครับ

ฝากไว้ให้จำหากคิดทำธุรกิจออนไลน์
ขายอะไรดี ? คุณต้องเริ่มที่ทำการค้นคว้า หาข้อมูลเรื่องการตลาดมาเป็นอย่างดีว่าสินค้าชนิดนี้ ยังมีอนาคตหรือไม่ ถ้ามีก็ลุยขั้นต่อไป
นำสินค้าจากที่ไหนมาขาย ? ตรงนี้สำคัญมากเพราะ อย่าฝากชีวิตไว้กับคู่ค้าเพียงรายเดียวให้มีคู่ค้า (ร้านค้าส่ง) หลาย ๆ เจ้าเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจลงไป
ขายที่ไหนดี ? รู้จักลูกค้าของคุณให้ดีเสียก่อนเพราะ ถ้าคุณรู้จักลูกค้าของคุณจริง ๆ แล้วคุณจะรู้ว่า สถานที่ไหน ทำเลใดกลุ่มลูกค้าของคุณใช้งานอยู่บ้าง
http://www.leaderwings.co/article/3-questions-new-online-trading/


Website Traffic คืออะไร ?

อย่างที่เกริ่นไปแล้วในตอนแรก Website Traffic ก็คือ การที่คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรานั่นเอง หลายคนอาจจะคิดว่ามันคือ “จำนวนคนเข้าเว็บ” ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันยังนับรวมไปถึง “จำนวนหน้าที่คลิก” และ “ระยะเวลาที่อยู่บนเว็บ” ของคนที่เข้ามายังเว็บไซต์ของเราด้วย ดังนั้นหากเราพูดถึง การเพิ่มหรือการหา Traffic ให้กับเว็บไซต์/บล็อก จึงควรพิจารณาที่องค์ประกอบ 3 อย่างคือ

1. จำนวนคนเข้าเยี่ยมชมเว็บ
2. จำนวนหน้าเพจที่คนคลิก
3. ระยะเวลาที่คนอยู่บนเว็บ

เมื่อดูจากปัจจัย 3 อย่างข้างต้น เราจะพบได้ว่า Traffic ที่ดีที่สุด จึงควรจะเป็น Traffic ที่เรียกว่า “Engaged Traffic” หมายถึง จำนวนคนเข้าเยี่ยมชมเว็บที่มีปฎิสัมพันธ์กับเว็บไซต์ของเรา คือมีการอ่าน! มีการคลิก มีการคอมเม้นท์ มีการใช้ระยะเวลาที่อยู่บนเว็บไซต์ของเราพอสมควร

มันคงไม่ดีแน่ … ถ้า มีหากคนเข้าเว็บของคุณ แล้วกด Back หรือ ปิด Browser ทันที ภายในเวลาไม่เกิน 5 วินาที (ลักษณะของการกระทำในลักษณะนี้ เรียกว่า “Bounce Rate” หรือ “อัตราตีกลับ”) ค่า Bounce Rate นี่เองถือเป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการชี้วัด “คุณภาพของเว็บไซต์” รวมไปถึง “คุณภาพของ Content” ซึ่งมันมีผลต่อการทำ SEO ในกลุ่มของปัจจัยที่ Google เรียกมันว่า “User Signal” หรือ “Dwell time” ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 อย่างคือ

1. Click Through Rate (CTR)
2. Time on Site (Session duration)
3. Bounce Rate

คำอธิบายเพิ่มเติมในส่วนนี้ ขอเก็บไปไว้ในหัวข้อ User Signal นะครับ (ใส่รวมกันเกรงว่าจะยาวเกินไป) แต่ประเด็นที่ต้องหยิบยกเรื่องนี้ มานำเสนอ เพราะต้องการสื่อให้คุณเข้าใจว่า ในเรื่องของ Web Traffic นั้น ไม่ควรจะเน้นแค่ปริมาณเพียงอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงคุณภาพควบคู่ไปด้วย

ประเภทของ Website Traffic (Traffic Channel)ผมเคยนึกสงสัยว่า “เฮ้ยเว็บทราฟฟิคมันมีจำแนกประเภทด้วยหรอเนี้ย ?” … หลายคนก็อาจจะนึกไม่ถึงในจุดนี้เช่นกัน ในแง่ของคนทำเว็บ คนทำ SEO คนทำการตลาดออนไลน์ เราคงหนีไม่พ้นที่จะไม่เกี่ยวข้องกับ Google และเครื่องมือหนึ่ง ที่ใช้ในการวัดสถิติของเว็บไซต์ทราฟฟิค ตัวยอดนิยม ก็คือ Google  Analytics ซึ่งในการจัดประเภทของ Web Traffic ตาม Google Analytics จะแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น
Direct / Organic Search / Referral / Email / Paid Search / Other Advertising / Social

แต่ตัวที่ถือว่าเป็น Default Channel ที่นิยมติดตามกัน จะมีอยู่ 4 ประเภท คือ

1. Organic Search
2. Social
3. Direct
4. Referral
http://www.webbastard.net/website-traffic-01/






การตลาดออนไลน์




7 เทคนิค Online Marketing 2015 สุดยอดการตลาดที่ทุกคนต้องรู้ โดย อ.วรเศรษฐ












http://www.thebiz.in.th/











Top website เพื่อช่วยขายสินค้า ทั้งไทยและต่างประเทศ+Dropship by PooLu




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น